วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อิสลามกับสงครามครูเสด

หลังจาก ศาสนาหื่นกามจากขุมนรก นบี มูฮัมหมัด(ค.ว.ย) ได้ใช้ดาบประกาศศาสนาเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเขาตายลูกหลานของเขาต่างทำสงครามกับคนต่างศาสนาอย่างต่อนื่อง จนจักรวรรดิ อิสลามเป็นจักรวรรดิที่ขยายตัวเร็วที่สุดในโลกยุคนั้น ตอนนั้น ตะวันออกกลางส่วนใหญ่เป็นจักรวรรดิไบเซนไทน์ ซึ่งเป็นคริสเตียน ออโธดอกซ์ ได้ถูกรุกรานและคนริสเตียนถูกกดขี่อย่างรุนแรงในสังคมมุสลิม โดยเฉพาะพวกเติร์กที่บังคับทุกคนให้เข้าอิสลามไม่เช่นนั้นตายจนเซนต์ปีเตอร์ได้เห็นภาพเหล่านี้เข้า จึงเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา เพื่อขอกำลังคริสเตียนมาปลดปล่อย เยลูซาเลม กอบกู้คริสเตียนจากพวกศาสนาสัตว์นรก พวกคริสเตียนจึงเริ่มเดินทางมา ตะวันออกกลาง โดยส่วนใหญ่เป็นคนฝรั่งเศส (พวกอาหรับจึงเรียกคนตะวันตกว่าพวก ฟรองด์ เหมือนกับที่คนไทยเรียกหัวทองรวมๆว่าพวก ฝรั่ง)กองทัพ คริสเตียน ที่มีเกราะเหล็กหนาหนัก รบได้ชัยอย่างง่ายดายในช่วงแรกๆ จักรพรรดิไบเซนไทน์ก็ดีใจได้ไม่นาน เพราะพวกกองทัพคริสเตียนไม่ได้มารบเพื่อเอาดินแดนคืนให้จักรวรรดิไบเซนไทน์ พวกเขามาเพื่อต่อสู้ แย่งชิงสร้างประเทศใหม่ของเขาเอง!! ปัจจัยหนึ่งที่พวกคริสเตียนได้ชัยในตอนแรกๆอย่างง่ายดายเพราะ จักรวรรดิของมูฮัมหมัดได้แตกสลาย พวกอิสลามอยู่เป็นก๊กกลุ่ม พวกลัทธิ ชีอะห์ ก็ทำเกลียดชังซึ่งกันและกันกับพวกซุนนีย์ เมื่อเมือง ชีอะห์ แตก พวกซุนนีย์กลับเอาม้ากับของกำนัลมาให้พวกคริสเตียนเพิ่มซะอีก เมื่อพวกคริสเตียนตีเมืองไปเรื่อยๆจนถึงเยลูซาเล็ม พวกคนริสเตียนก็ไม่หยุด พวกเขาตีเมืองต่อไปเรื่อยๆจนถึงคาบสมุทรไซนาย ตอนนี้ในกลุ่มมุสลิมเริ่มมีกระแสต่อต้าน คริสเตียน ยิ่งขึ้น

ตั้งแต่จักรวรรดิศาสดานรกแตกสลาย คำว่า “จีฮัด” หรือสงครามศักดิ์สิทธิ ถูกใช้เมื่อ ปลุกเร้าให้มุสลิมในเมืองต้องจับดาบสู้ เมื่อเขาถูกมุสลิมต่างเผ่าบุกเท่านั้น คนที่ปลุกเร้าให้ มุสลิมลุกขึ้นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในการรบกับพวกคริสเตียนคือ ซาลาดิน (ไม่ต้องแปลกใจที่พวกมุสลิมนิยม ตั้งชื่อ ซอลาฮุดดิน มันมาจากชื่อคนนี้แหละ) ซาลาดิน ต่างกับนักรบจีฮัดคนอื่นๆคือ เขาเกลียดชัง พวกคริสเตียนอย่างรุนแรงและ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อรบกับพวกคริสเตียน เขาไม่สนสมบัติทรัพย์สินใดๆนอกจาก สงครามศักดิ์สิทธิ เท่านั้น ภาพลักษณ์คนเคร่งศาสนาสุดขั้ว แต่งตัวพื้นๆ หน้าตาผอมแก้มตอบๆ พูดเบาๆ ทำให้ มุสลิมศรัทธา เขามาก เขาใช้เวลาสั้นๆในการไล่เก็บเมืองคริสเตียนต่างๆ และตีเยลูซาเล็มจนแตก (จริงๆไม่ได้ยากอย่างในหนังเรื่อง kingdom of heaven สักน้อย) กองทัพมุสลิมบังคับแลกเงินค่าไถ่จากพวกคริสเตียนแลกกับการไม่สังหารโหด

หลังจากนั้น กองทัพคริสเตียน ระดมพลครั้งใหญ่ อีกครั้ง นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกของ คริสเตียน ที่ จักรพรรดิเยอรมัน เฟรดเดอริก บาบารอสซ่า เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย (บางเล่มเขียนว่าจมน้ำ)หลังยกทัพขึ้นบกที่ตะวันออกกลางได้แค่ 2 สัปดาห์ กองทัพเยอรมันที่ขึ้นชื่อว่า ดุดัน แข็งแกร่ง และมีวินัยที่สุด 2 แสนนายต้องถอนกลับทันที กองทัพของ กษัตริย์ ริชาร์ด ใจสิงค์หลังยกพลขึ้นบกที่ ทริโบลี อย่างโดดเดี่ยวเมื่อกษัตริย์หลุย์ฝรั่งเศสหักหลังด้วยการยกขบวนเรือกลับกลางคัน เมื่อตีเมืองไปได้เล็กน้อย ก็พยายามเล่นเกมส์การทูตกับ ซาลาดิน จนถึงขั้นจะยกน้องสาวให้ ซาลาดิน แต่น้องสาวริชาร์ดบอกว่า “ฆ่าฉันให้ตายดีกว่าเข้าอิสลาม” กระนั้น ริชาร์ด ก็เจรจาเปิดเมืองเยลูซาเลมให้คริสเตียนเข้าแสวงบุญจนได้ และรีบยกพลหลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่กองทัพฝรั่งเศสยกพลขึ้นบกที่อียิปต์ ต้องผจญกับโรคระบาดและอาหารที่ขาดแคลน เมื่อเข้าหน้าฝนแม่น้ำไนล์ที่เอ่ออย่างรวดเร็วทำให้กองทัพฝรั่งเศสตองหนีหัวซุกหัวซุน และถูกตามตีแตกพ่าย กษัตริย์ฝรั่งเศสถูกจับในสนามรบ ฝรั่งเศสต้องไถ่ตัวกลับมาด้วยเงิน 2ล้านดีนาร์

แล้วไม่นาน เยลูซาเล็ม ก็เสียไปอีกครั้ง ในเวลาสั้นๆ เมืองของคริสเตียนเหลือแค่ไม่กี่เมือง แต่แล้วพวกมองโกลนำโดยบากูข่านซึ่งเป็นคริสเตียนนอร์ทเทอร์เรียนก็บุกเขามาจากตะวันออกอย่างรวดเร็ว กรุงดามาสคัส ที่คริสเตียนใช้เวลากว่า 150 ปีในการเข้าตี พวกมองโกลใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ในการบุกยึด พวกคริสเตียนรีบให้ความช่วยเหลือกับพวกมองโกล ไม่นานนัก โอโตไกข่านสูงสุดเสียชีวิต พวกมองโกลต้องรีบกลับไปเลือกข่านคนใหม่ พวกมุสลิมลอบสังหารพวกทหารมองโกลที่เฝ้าเมืองอยู่จนหมดสิ้น แล้วหันไปเก็บกวาดพวกคริสเตียนจนสิ้นซาก สงครามครูเสดที่ยาวนานกว่า 200 ปีจึงสิ้นสุดลง พวกมุสลิมนำสิ่งใหม่ที่เรียนรู้จากพวกมองโกลไปใช้ต่อ คือ ดินปืน ดาบโค้ง เกราะเหล็กอ่อนซึ่งคล่องตัวและระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิมมาก พวกมุสลิมทำสงครามกับคริสเตียนอย่างต่อเนื่อง จึงบุกขึ้นเหนือต่อไป ถล่มจักรวรรดิไบเซนไทน์จนหายไปจาก แผนที่โลก และบุกต่อไปจนถึงพรมแดนสวิตเซอร์แลนด์ จึงหยุดเนื่องจาก สุลต่านพวกเติร์กที่ป็นคนนำทัพเสียชีวิต เป็นธรรมดาที่ถ้าพวก กษัตริย์มุสลิมตาย มักต้องมีสงครามแยงชิงบัลลังค์พ่วงท้ายเสมอ หลังจากสงครามกลางเมืองของจักรวรรดิมุสลิมเติร์ก พวกเขาจึงหยุดสงครามกับคนต่างศาสนา ลงเพราะการณ์นี้

สิ่งที่เกิดขึ้นจากสงครามครูเสด

พวกคริสเตียน เริ่มเบื่อหน่ายศาสนา พวกเขาเซ็งที่ต้องไปรบต่างบ้านต่างเมืองโดยมีรางวัลคือ การขึ้นสวรรค์ ที่พิสูจน์ไม่ได้ พวกฝรั่งเริ่ม ค้นหาคำตอบอื่นๆให้ชีวิตที่คำตอบไม่ใช่ “พระเจ้า ” พวกคริสเตียน ฝึกภาษา อาราบิกเพื่อเรียนทุกวิทยาการของพวกอาหรับ แม้กระทั่งปลอมตัวเป็นมุสลิมเพื่อแอบไปเรียนคณิตศาสตร์ ทำให้เลขโรมันที่ใช้มานับพันปีต้องเลิกใช้ไป ทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ ท้าทายให้คนทำอะไรใหม่ๆ สำรวจโลกใหม่ ออกทะเลสำรวจโลกใหม่เพราะพวกมุสลิมยึดเส้นทางสายไหมไว้ได้หมด(เพราะข่านมองโกลเปลี่ยนไปเข้าอิสลาม) คิดทฤษฎีใหม่ๆมากมาย แม้ต้องท้าทายโทษถึงตายของศาสนจักร จึงเกิดยุคแห่งศิลปะวิทาการ(เรอเนซอง) และปฏิวัติอุตสาหกรรมตามมา

พวกอิสลาม หลังจากชนะสงครามจากเดิมที่พวกคนเหล่านี้ต้องอยู่ในสังคมที่ปิดอยู่แล้วกลับปิดตัวหนักขึ้นไปอีก พวกเขาเขียนประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจตรงนี้ลงไป และท่องมันซ้ำซาก ไปๆมาๆ คู่กับ คัมภีร์นรก อัลกุรอ่าน ซึ่งถูกยกให้เป็นหนังสือที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านเรื่องความถูกต้องของมัน ทั้งเรืองวิทยาศาตร์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ชีววิทยา ต่างอยู่ในอัลกุรอ่าน ต่อให้คัมภีร์นรกจะเขียนแต่ละเรื่องไว้งี่เง่าแค่ไหน แต่มุสลิมมีหน้าที่ต้องไม่สงสัยอัลกุรอ่าน พวกฝรั่งพูดภาษาอารบิกได้ แต่พวกอาหรับไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้อะไรจากตะวันตก ในสังคมตะวันตก พวกมุสลิมอยู่ร่วมกับคริสเตียนได้ปกติสุข แต่สังคมอาหรับ คนคริสเตียนต้องอยู่อย่างหวาดระแวงพวกมุสลิม และพวกมุสลิมก็เกลียดชังไม่สุงสิงคริสเตียนและยิว สังคมอาหรับ เป็นธรรมเนียมที่เมื่อสิ้นกษัตริย์ ต้องมีสงครามแย่งบัลลังค์ด้วย สงครามที่ต่อเนื่องทำให้สังคมพวกมุสลิมไม่มีความก้าวหน้า แม้ท้ายที่สุดจักรวรรดิอิสลามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ออตโตมานจะบัญญัติธรรมเนียมการสืบรัชทายาทใหม่เพื่อเลี่ยงสงครามกลางเมืองคือ ลูกชายของสุลต่านทุกคนต้องถูกขังในหอคอยสูง ลูกของสุลต่านต้องฆ่ากันเองทั้งหมดจนเหลือแค่คนเดียว กลับทำให้จักรพรรดิอิสลามตอนหลังๆมีแต่พวกคลุ่มคลั่งวิกลจริต จึงไม่แปลกที่ในช่วงหลังๆ รัฐอิสลามส่วนใหญ่จะถูกกลืนเป็นอาณานิคมตะวันตกไปเกือบหมด

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์ นบี มูฮัมหมัด (ค.ว.ย) ศาสดาหื่นกามอำมหิต

นบี เป็นเด็กกำพร้าที่ทำหน้าที่เป็นคนจูงอูฐใน คาราวาน ของลุง แล้ว นบี ก็หว่านเสน่ห์ ใ หญิงหม้ายที่อายุมากกว่าตัวเอง 15 ปีเพื่อ แต่งงานหวังมรดก สภาพสังคมอาหรับในตอนนั้น มีการนับถือพระเจ้าหลายองค์ ต่างเผ่าพันธุ์ต่างแยกกันอยู่ตาม โอเอซิสต่างๆทำให้สังคมอาหรับเป็นวัฒนธรรมที่เป็นสังคมปิด สภาพแวดล้อมที่เหมือนนรกฝนแทบไม่ตกปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น ทำให้คนพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่ตัวและชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่จะมีการรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา

หลังจาก นบี เริ่มกินอิ่มนอนหลับเพราะเกาะเมียกิน เขาก็เริ่มอยากหาเมียเด็กๆมาไว้ชมเชยบ้าง แต่ถ้าแสดงความหื่นมากเกินไป เดี๋ยวจะโดนเมียหลวงเฉดหัวออกจากกองมรดก นบีเดินหนีเมียแก่ๆหนังยานของเขาขึ้นเขา แล้วก็เดินกลับมาบอกหน้าตาเฉยว่าเจอกับ ทูตของพระเจ้า และตัวนบีเองได้รับเลือกเป็น ศาสนทูตคนสุดท้าย ถ้าเป็นสมัยนี้ คนแบบนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด นี่คงถูกหาว่าเป็น “ไอ้บ้า” แต่ในยุคสมัยนั้น ใครๆตั้งลัทธิกันเกร่อ ลัทธิไหนคนนิยมเจ้าลัทธิก็สบายไปด้วย ลาภสักการะ เมียของ นบี เล็งเห็นผลการณ์ไกลเพราะตนเองก็มีทุนทรัพย์พอจะดันลัทธิใหม่ของ สามีให้แจ้งเกิด เลยประกาศตัวเป็นสาวกคนแรก ของ ลัทธิ “มูฮัมหมัด” อย่าเพิ่งตกใจตอนแรกๆ ชื่อลัทธิมันเป็นแบบนี้จริงๆ ก่อนจะมาเป็น “อิสลาม” ทีหลัง

ว่าแล้ว นบี มูฮัมหมัด ก็ตกแต่งตัวเองซะใหม่ให้ ดูสมถะน่าเคารพก่อนเดินเข้าไปหาสาวกเพิ่มเติม ที่ กรุงเมกกะ แต่เนื่องจาก เมกกะเป็นเมือง ศูนย์กลางของอาระเบีย ที่เจ้าลัทธิอื่นๆ รวมทั้งศาสนา ยิว คริสเตียน อยู่ก่อนแล้ว ลัทธิมูฮัมหมัด จึงไม่ได้แจ้งเกิด พอเริ่มหาสาวกได้ 10 คน ก็ดันมี สาวกบางคนทนลำบากกับ นาย นบีไม่ไหว ก็โบกมือลาไปซะก่อน เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ นาย นบี จึงต้องหาที่ประกาศ ลัทธิใหม่ แต่... อุตสาห์เป็นตั้ง ศาสนทูต คนสุดท้ายทั้งที จะเผ่นออกจากเมกกะมือเปล่าก็จะดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไร นบี เลยอ้างว่า “ผม และสาวก ถูกกีดขวาง กลั่นแกล้ง และทารุณกรรม จากพวกนอกศาสนาไม่ไหว จึงต้องลี้ภัยจากเมกกะ” กลายเป็นว่า ปีที่ นาย นบี เผ่นออกจาก เมกกะกลายเป็นปีเริ่มต้นศักราชแรกของอิสลาม คือ ฮิจเราะห์ศักราช นั้นเอง

เมื่อ นบี ย้ายมา เมือง เมดิฮาห์ นาย นบี เริ่มมีสันดานเสียคือ ไม่ช่วยเมียทาหากิน แถมยังเอาเงินเมียไปเลี้ยงดูสาวกอีก ซึ่งช่วงนี้ใน บันทึกของพวกมุสลิมบอกว่า นบี ต้องอยู่อย่างอัตขัต แล้วนบีก็คิดวิธีหาเงินออก คือ ปล้นขบวน คาราวาน โดย สาวกอิสลามของเขานั้นแหละ หลังจากการปล้นครั้งแรกทระพย์สินที่ได้จากการปล้นทำให้คนสนใจเข้าร่วม ลัทธิมูฮัมหมัด จำนวนมาก นาย นบี ก็เริ่มได้ใจจึงปล้นต่อเนื่องอีกหลายครั้ง นบีวางแผนซื้อใจสาวกอย่างฉลาด เพราะนบี คิดได้ว่าสาวกที่มากขึ้นแบบนี้ ของที่ปล้นได้สักวันต้องแจกลูกน้องตัวเองไม่ไหวแหงๆ นบีจึงให้รางวัลท่าพิสมัยกว่า รางวัลที่ได้จากการปล้นคือ... ใบผ่านทางสู่สวรรค์ ลูกสมุนทุกตัวของ นบี จะเข้าใจว่า “นบีคือศาสนทูตของพระเจ้าที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้น” ทุกคำสั่งของนบีก็คือองการจากสวรรค์นั้นเอง แค่ทำตามก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว ว่าแล้วนบีก็วาดภาพสวรรค์ให้ชัดเจนและเหลือเชื่อ สวรรค์เป็นที่ๆมีทั้ง ผู้หญิง อาหาร น้ำ กลายเป็นว่าใครไม่ทำตามคำสั่ง นบี ต้องตกนรกนั้นเอง นบี ยังมีพรสวรรค์ด้านการล้างสมองมวลชน โดยตั้งกฎต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง โดยทุกๆครั้งช่วงแรก นบีจะเป็นคนกล่าว โฆษณา ชวนเชื่อต่างๆด้วยตัวเอง จนในที่สุด เมดิฮาห์ เกือบทั้งเมืองก็กลายเป็นซ่องโจร มูฮัมหมัด หลังจากการปล้นผ่านไป 10 ครั้ง ด้วยการกระทำที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทาง เมกกะ ได้ส่งกำลังมากำราบซ่องโจรมุสลิม

ตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด ต้องรับศึกใหญ่กว่าที่เคยรบมาทั้งหมด ...แต่ นบี ก็มีรางวัลใหญ่ สำหรับคนที่ร่วมศึกในครั้งนี้!! จีฮัด .. หรือ สงครามศักสิทธิ์ถูกประกาศขึ้น แค่ มุสลิมคนไหนเข้าร่วมในสงครามกับพวกนอกศาสนาครั้งนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ยิ่งตายในสนามรบ ยิ่งจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุดดด!!! ว่าแล้วก็จับยิวในเมืองมาตัดหัวทิ้ง 10 คน ละเลงเลือดคนนอกศาสนาพอเป็นน้ำจิ้มก่อน โดยยัดข้อหาเป็นใส้ศึก ว่าแล้ว นบีก็กล่าว สรรเสริญ อัลเลาะห์หัวควย แล้วชี้ดาบเข้าเข่นฆ่าคนนอกศาสนาอย่างบ้าคลั่ง สงครามจบลง นาย นบี ได้ชัยชนะ พวกลัทธินรก ได้หยั่งลงมั่นคงแล้วที่เมดิฮาห์ แต่ นบียังต้องการ ปล้นต่อไป ตอนนี้เมืองเล็กๆอย่างเมดิฮาห์ ไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้แล้ว เขาต้องการเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาระเบีย... เมกกะ!!

หลังการศึกที่นองเลือด 3 ครั้ง นบีได้ยึด เมกกะได้ นบีเริ่มล้างแค้น ลัทธินอกศาสนาอิสลามอย่างป่าเถื่อน ด้วยการบังคับเปลี่ยนศาสนาแลกกับชีวิต (เห็นหรือไม่ อิสลามคือศาสนาที่แท้จริงหนึ่งเดียวของโลกจริงๆ ผู้คนต้องรักษาหัวตัวเองไว้บ่นบ่าต่างหาก จึงจำยอมเข้าอิสลาม) รูปเคารพทั้งหมดถูกทำลาย คัมภีร์ต่างศาสนาทุกอย่างถูกเผา จนถึง หินกะบะห์ (หินดำแห่งเมกกะที่ ฑูตพระเจ้าเอามาให้) นบี สั่งห้ามทำลายเพราะถึงบริเวณนั้นจะต่างลัทธิมาก แต่คนส่วนใหญ่นับถือ ศาสนายิวกับคริสเตียน ในเมื่อ นบีก็อ้างว่าตัวเองเป็นศาสนทูต จะมาทำลายสัญลักณ์ ของเทวทูตของพระเจ้าอาจทำให้เกิดปฏิกิริยา เมื่อคิดได้แบบนี้ นบีจึงสั่งเก็บหินดำไว้ แล้วลอกแบบปฏิบัติหลายอย่างของยิว และคริสออโธดอกซ์ เพื่อจูงใจ ให้คนเหล่านี้ เข้าอิสลามได้ง่ายขึ้น โดยมองว่า อิสลามคือวิวัฒนาการขั้นหนึ่งของศาสนาไป

เรื่องที่ อิสลาม ลอกชาวบ้านมาทั้งดุ้นก็มี การขลิบ+ไม่กินหมู ของยิว การเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ของคริส ก็เป็นเข้ามัสยิดเพื่อ ฟังธรรมใหญ่+ บริจาค ในวันศุกร์ รวมทั้งบังคับให้ ภาษี จิซาร์ ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บหนักเป็นพิเศษ ในคนต่างศาสนาเป็นการใช้พระเดชพระคุณบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนศาสนา

มาถึงตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด เริ่มไม่เห็น เมียหลวงในสายตา เขาก็ทำตามความฝันของเขาสักที นั้นคือ หาเมีย เอ๊าะๆ และฮาเร็ม แต่กระนั้น นบี ยังแสดงความหื่นมากไม่ได้ เพราะลูกน้องของเขากำลัง ฮึดฮัด และสาวกใหม่หลายคนก็อยากไปสวรรค์เหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่พวกนอกศาสนา แบบนี้สงครามศักสิทธิ์สร้างได้ไม่ยาก ว่าแล้ว นาย นบี ก็ประกาศจีฮัด ต่อเมืองอื่นๆอีกหลายครั้ง ความทารุณถ่อยเถื่อนของ กองทัพ อิสลาม ถึงขั้นที่ นบี มูฮัมหมัด ชี้ดาบไปที่เมืองหนึ่งแล้วบอก “เข้าอิสลาม.. ไม่งั้นมึงตาย” เมืองนั้นทั้งเมืองก็เปลี่ยนเป็นอิสลาม ความหื่นของนบี มาถึงจุดสูงสุดในการบุกเมืองยิวแห่งหนึ่ง สังหารตระกูลที่ปกครองเมืองนั้นทั้งหมดแล้วจับลูกสาวเจ้าเมืองมาเป็นเมีย หลังจากฆ่าสามีของนางแล้ว

ตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด เป็นผู้พิชิตแห่งอาระเบีย เป็น กษัตริย์ ผู้นำลัทธิ และจิตวิญญาณ คำพูดของเขาไม่ใช่แค่สั่งเป็นสั่งตาย แถมยังสั่งให้ขึ้นสวรรค์ ลงนรกได้อีกด้วย ด้วยวัย 50 ปี เมียคนแรกไม่ต้องพูดถึง นบี เอาไปทิ้งในถังขยะแล้ว ฮาเร็มก็มี เอ๊าะๆก็เยอะ แต่ นบี ยังไม่เคยลิ้มรสสาวแรกรุ่นสักที ว่าแล้ว นบีเห็น ลูกขุนนางตัวเอง อายุ 9 ขวบ เดินไปมา ก็เดินไปบอกหน้าด้าน ๆ “กูอยากได้” ขุนนางก็ตกใจเลยขอประวิงเวลาต่อไปเรื่อยๆบอกว่า “ลูกข้ายังเด็ก เกินไปเกรงจะไม่เหมาะ” พอนางอายุ 11 ขวบ นบี มูฮัมหมัด ก็ทนไม่ไหวจับแต่งงาน โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้า พรหม ว่าแล้วก็ไล่ขุนนางไปเขียนบรรทัดฐานใหม่ให้โลก อาหรับว่า “11 ขอบก็โตพอจะมีครอบครัวแล้ว” “สุลต่านมีเมียเป็นฮาเร็มได้ ส่วนผู้ชายมุสลิมมีได้ 4 คน”

ในบั้นปลายชีวิต นบี มูฮัมหมัด มั่วกามอย่างหนัก จนตายไปตามธรรมชาติ (ในโลกของกษัตริย์อาหรับ หาพวกไม่ตายโหงยาก นบี เป็นตัวอย่างที่พบได้น้อย) เนื่องจากทั้งชีวิต ของนบี มูฮัมหมัด หมกมุ่นแต่การหลอกลวง ปล้นฆ่า และเสพกาม ลูกๆของ นบี จึงอยากสร้างภาพนบี ให้สวยงามในใจของสาวกลัทธิ ด้วยการกุเรื่องว่า นบี ไปเหยียบหินดำแล้วลอยกลับสู่สวรรค์ (ลอกแบบพระเยซู แต่ไม่น่าเกลียดเท่าไรเพราะ นบี เองก็อ้างตัวเป็นศาสทูตเหมือนกันนี่หว่า แถมเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายด้วย โอ๊ โหหห) ส่วนใครที่กล้าเขียนบันทึก หรือหลุดปากความจริงเกี่ยวกับการตายของ นบี ต้องโทษ หมิ่น ศาสนา ซึ่ง ตายสถานเดียว!! และการลงโทษนี้ก็ยังสืบมาจนถึงทุกวันนี้

ว่าแล้วราชวงศ์ของ นบี ก็อยู่ไม่ยั่งยืนเหมือน ราชวงศ์อื่นๆของอาหรับ คืออยู่ได้แค่ 3 ชั่วรุ่น ลูกหลานก็ฆ่ากันจนเกือบหมดสิ้น แต่ผู้ปกครองใหม่ก็เข้าครอบครองจักรวรรดิ อิสลาม ได้ไม่ยากนักเพราะ อิสลามเหมือนกับเครื่องจักรที่พรั่งพร้อมรอแค่คนบังคับเท่านั้น ผู้ปกครองใหม่ใช้ จีฮัด ในการทำสงครามสนองตัณหาของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนจักกรวรรดิใหญ่โต เริ่มรวมกันอย่างหลวมๆในที่สุด ก็แตกป็นเสี่ยงๆเนื่องจาก ขุนศึกอิสลามแต่ละคนมีแต่คนมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างต่อเนื่องนั้นเอง รวมระยะเวลาที่จักรวรรดิ มูฮัมหมัด อยู่ได้คือ 200 กว่าปีเท่านั้นเอง อิสลามจะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งใน สงครามครูเสด ตอนหน้า..

รัฐธรรมนูญ ฉบับมุสลิม

ได้เวลาอันประจวบเหมาะและนับเป็นโอกาศของคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะชาวมุสลิมทั้งหลาย ที่จะได้หลุดพ้นจากความอับยศที่สุมอดอยู่เนิ่นนาน นับตั้งแต่เป็นคนไทยมา โอกาศทองอันนี้ไม่ควรที่จะพลาด เมื่อประเทศจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น หลังจากที่คณะปฏิวัติได้เขย่าระบอบทักษิณร่วงลงมาอย่างราบคราบ ทำให้คนไทยที่ไม่ชอบนายกคนก่อน มีความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในสังคมทรามแห่งนี้ และเป็นความหวังของชาวมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง ในการปรับปรุงศาสนาของตนให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะในหลักความเชื่อความศรัทธา ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาและนับเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ที่อันตรายยิ่งสำหรับชาวมุสลิม

ข้าพเจ้าจะปล่อยวิธีการปรับปรุงแก้รัฐธรรมนูญ ให้เป็นเรื่องของคนไทยอย่างที่พวกเขาต้องการ เพียงแต่ในที่นี้ข้าพเจ้าขอชี้แนะในบางตัวอย่าง ของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนที่ควรและจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเปลื่ยนแปลง เพราะมันขัดกับความเชื่อความศรัทธาที่ถูกต้องตามคำสอนของศาสนาอิสลาม เช่นในหมวดที่ 2 มาตราที่ 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนมีว่า (องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้...) ในที่นี้คำว่า(สักการะ)นั้นมีความหมายว่า (บูชา) นั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมากสำหรับคนมุสลิม ที่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะศาสนาอิสลามสอนแล้วก็สั่งอีก ไม่ให้ บูชาสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต นอกเหนือจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือเอกองค์อัลลอห์ ที่ต้องเคารพบูชา มุสลิมใดที่บูชาสิ่งอื่น ร่วมกับการบูชาอัลลอห์ นั้นถือว่าเป็น ชีริก หรือมุชริก ที่พระเจ้าจะมิให้อภัยเด็ดขาด.

และอีกตัวอย่างหนึ่งคำว่า(ข้าพระพุทธเจ้า) ในมาตราที่ 15 ของหมวดที่ 2 ที่ถือเป็นองคมนตรีอย่างชาวพุทธ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ คนมุสลิมไม่มีสิทธิที่จะเป็นองคมนตรีอย่างแน่นอน เพราะก่อนเข้ารับหน้าที่ ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณ์ตนต่อพระมหากษัตริย์ ที่เริ่มด้วยคำว่า (ข้าพระพุทธเจ้า) นี่เป็นแค่บางตัวอย่างที่เป็นการชี้ทางให้พี่น้องมุสลิมไทย กล้าคิดกล้าทำกล้าเอาตัวเองให้หลุดพ้นจากอันตราย และหลุดพ้นจากความไม่เป็นธรรม.เพราะเมื่อโอกาศเหมาะ อิสลามก็สอนให้พูดและกล่าวความจริง แม้จะได้รับตำต่อว่าจากผู้ไม่เห็นด้วยก็ตาม

ฉนั้นถึงเวลาแล้วที่ศาสนาอิสลาม ในไทยจะได้รับการเชิดชูให้สูงส่งและเป็นศาสนา ที่ประเสริฐสำหรับทุกคน รัฐบาลไทยคงไม่ชั่วร้ายเกินไป ถึงขนาดที่จะไม่ยอมแก้ไข้รัฐธรรมนูญให้เหมาะกับสม แก่คนมุสลิมที่เป็นคนไทยด้วยกันหรอก


วันที่ : 3 / 11 / 2006 ภาพประกอบ : ทางอินเตอร์เน็ต
บทความโดย : โดย ส.อัมมาร์

www.patanis.com/th/14.htm

ฉีกหน้ากาก นบี มูฮํมหมัด

มูฮัมมัดนั่นหรือ คือใครกันแน่.....? ท่านศาสดามูฮัมมัดน่ะหรือ.....อย่าไปชื่นชมงมงายนักเลย ท่านก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม อายุน้อย ผูกมัดใจสาวใหญ่สูงอายุผู้มั่งคั่ง เพื่อการดำรงชีพ แล้วขอแต่งงานด้วย เพื่อครอบครองทรัพย์นำไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า “ เกาะเมียกิน ” ก็ได้ จึงกลายมาเป็นลักษณะนิสัยของหนุ่มมุสลิมทั่วไปในปัจจุบัน
เพราะการที่ท่านศาสดามูฮัมมัดมีเมียแก่ แต่ไม่ค่อยจะมีความสุขในครอบครัว ไม่พอใจในชีวิตการครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ชายมุสลิมมีเมียได้ ๔ คน
แต่พอมีเมียคนใหม่เป็นเด็กอายุน้อย ๆ ตั้งแต่คนที่ ๒ ก็เกิดความหวงแหนกลัวเมียเด็กจะไปปันใจให้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า จึงบังคับให้เมียเด็กคลุมหน้าคลุมตา ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมองเห็นความงดงามของเมียน้อยตัวเอง และเพื่อมิให้เป็นข้อครหา จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมหัวปิดหน้า
ท่านศาสดาเป็นคนที่มีอีโก้สูง อยากโดดเด่นเหนือคนอื่น จึงคิดหาวิธีการตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยการจัดตั้งลัทธิความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ “ อัลเลาะฮ์ ” และการที่ทุกคนจะติดต่อกับอัลเลาะฮ์ ได้ ก็จะต้องติดต่อผ่านท่านศาสดามูฮัมมัดเท่านั้น คนอื่น ๆ ไม่เก่ง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีเลิศ เท่าท่านศาสดา ความคิดนี้ จึงไปขัดแย้งกับสาวกของพระเจ้าองค์อื่น ๆ ที่พวกเขานับถือกันอยู่ ซึ่งก็คือ เผด็จการทางความคิดนั่นเอง จึงเกิดสงครามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการครอบครอง “ หินกาบะห์ ” สถานที่ศักด์สิทธิ์ของพระเจ้าหลายองค์ในขณะนั้น
การต่อสู้ทางความคิด และสงครามทางอาวุธ ของท่านศาสดามูฮัมมัดในระยะแรก พ่ายแพ้ยับเยิน ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงหาวิธีปลุกระดมมวลชน สาวกกลุ่มใหม่ให้ยอมสละชีวิตร่างกายในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวท่านมูฮัมมัดเอง แต่อ้างว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์ ให้การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ทางศาสนา โดยกำหนดหลักการที่ว่า การเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ที่มีความเชื่อแตกต่างไปจากพวกของศาสดามูฮัมมัดไม่ผิด และจะได้บุญ ได้ไปพบกับอัลเลาะฮ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ให้คุณให้โทษ สร้างและทำลาย ให้พรและสาปแช่ง ต่อมวลมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ที่มีในโลก และนอกโลก ( ทุกอย่างเป็นประสงค์ของอัลเลาะฮ์ )

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

เริ่มซะที blog manga ของผม

เซ็งว่ะ ไอ้สำนักพิมพ์ มันจะดอง manga ไว้ทำควยอะไร ญี่ปุ่นเขาล่วงหน้าไปเป็นชาติแล้ว